Add parallel Print Page Options

ที่ภูเขาซีนาย

19 หลังจากชาวอิสราเอลออกเดินทางจากแผ่นดินอียิปต์ไปแล้ว เมื่อถึงวันแรกของเดือนที่สาม พวกเขาก็มาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย เมื่อชาวอิสราเอลเดินทางออกจากเรฟีดิมมาจนถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขาในถิ่นทุรกันดาร โมเสสขึ้นไปพบกับพระเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็เปล่งเสียงจากภูเขาเรียกท่าน และกล่าวว่า “จงบอกครอบครัวของยาโคบ และจงบอกชาวอิสราเอลว่า เจ้าได้เห็นสิ่งที่เรากระทำต่อชาวอียิปต์ และเราประคับประคองเจ้าไว้ดั่งอยู่บนปีกนกอินทรีได้อย่างไร จนกระทั่งนำเจ้าออกมาอยู่กับเราที่นี่ บัดนี้ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังเสียงเราและรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าก็จะเป็นสมบัติอันมีค่าของเราท่ามกลางชนชาติทั้งปวง ด้วยเหตุว่าโลกทั้งโลกเป็นของเรา และพวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิตทั้งหลาย และเป็นประชาชาติที่บริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องพูดกับชาวอิสราเอล”

ดังนั้น โมเสสจึงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน และบอกเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งท่านไว้ แล้วประชาชนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้” โมเสสจึงรายงานกับพระผู้เป็นเจ้าตามคำพูดของประชาชน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะมาพบกับเจ้าท่ามกลางเมฆหนาทึบ เพื่อให้ประชาชนได้ยินเสียงที่เราพูดกับเจ้า ตั้งแต่นี้ไปเขาจะเชื่อเจ้าด้วย”

โมเสสจึงบอกประชาชนตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ 10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกให้ประชาชนชำระตัวให้บริสุทธิ์ทั้งวันนี้และพรุ่งนี้ และพวกเขาต้องซักเสื้อผ้า 11 จงเตรียมให้พร้อมภายในวันที่สาม เพราะวันที่สามพระผู้เป็นเจ้าจะลงมาที่ภูเขาซีนายต่อหน้าประชาชนทั้งปวง 12 เจ้าต้องกำหนดเขตแก่ประชาชนโดยรอบบริเวณและบอกว่า ‘อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือแม้แต่จะแตะต้องเชิงเขา ใครที่แตะต้องภูเขาจะต้องตาย 13 เขาจะถูกหินขว้างจนตายหรือไม่ก็ถูกยิงด้วยธนู และก็อย่าให้ใครถูกต้องตัวคนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ที่แตะต้องเชิงเขา ก็อย่าให้มีชีวิตอยู่เลย’ แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน[a]เป่ายาวๆ ก็ให้พวกเขาขึ้นมาบนภูเขา” 14 โมเสสจึงลงจากภูเขาไปหาประชาชน บอกให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์และซักเสื้อผ้าด้วย 15 ท่านพูดกับประชาชนว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อมในวันที่สาม จงอยู่ห่างผู้หญิงเข้าไว้”

16 เช้าของวันที่สามก็เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง มีเมฆหนาก้อนหนึ่งปกคลุมอยู่บริเวณภูเขา เสียงแตรงอนดังกึกก้องจนทำให้ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ในค่ายหวาดกลัว 17 โมเสสพาประชาชนออกจากค่ายเพื่อไปพบกับพระเจ้า และพวกเขาก็ยืนกันอยู่ที่เชิงเขา 18 ภูเขาซีนายทั้งลูกมืดครึ้มด้วยหมอกควัน เพราะพระผู้เป็นเจ้าลงมาอยู่ที่นั่นในรูปลักษณ์ของเปลวไฟ ควันพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาผิง และภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง 19 ขณะที่เสียงแตรงอนดังขึ้นเรื่อยๆ โมเสสพูดและพระเจ้าตอบท่านเป็นเสียงฟ้าร้อง 20 พระผู้เป็นเจ้าลงมายังภูเขาซีนาย ณ ที่ยอดเขา และพระผู้เป็นเจ้าเรียกโมเสสขึ้นไปที่ยอดภูเขา โมเสสก็ขึ้นไป

21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ลงไปเตือนประชาชนว่าอย่าล้ำเขตเข้ามาจ้องดูพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นพวกเขาจะพากันตายหลายคน 22 แล้วให้บรรดาปุโรหิตที่เข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้าชำระตัวให้บริสุทธิ์ด้วย มิฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษพวกเขา” 23 โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ประชาชนจะขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์กำชับไว้แล้วว่า ‘จงกำหนดเขตรอบภูเขาให้เป็นที่บริสุทธิ์’” 24 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ลงไปเถิด แล้วพาอาโรนขึ้นมากับเจ้าด้วย แต่อย่าให้บรรดาปุโรหิตและประชาชนล้ำเขตขึ้นมาถึงพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นเราจะลงโทษพวกเขา” 25 ดังนั้น โมเสสจึงลงไปบอกประชาชน

พระบัญญัติสิบประการ

20 พระเจ้ากล่าวตามคำพูดดังนี้ว่า

“เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า คือผู้ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส

นอกจากเราแล้ว เจ้าจงอย่านมัสการเทพเจ้าใดๆ

อย่าสร้างรูปเคารพหรือสิ่งใดที่มีลักษณะเหมือนสิ่งที่อยู่ในสวรรค์เบื้องบน หรืออยู่ในโลกเบื้องล่าง หรืออยู่ในน้ำใต้โลกให้แก่ตนเอง อย่าก้มกราบหรือบูชาสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า พระเจ้าผู้หวงแหน เราจะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาต่อเนื่องไปจน 3 และ 4 ชั่วอายุของผู้ที่เกลียดชังเรา แต่เราจะแสดงความรักอันมั่นคงนับพันๆ ชั่วอายุของผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบัญญัติของเรา

อย่าใช้ชื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าในทางที่ผิด เพราะพระองค์จะถือโทษต่อคนที่นำชื่อของพระองค์ไปใช้ในทางที่ผิด

จงระลึกถึงวันสะบาโตโดยนับว่าเป็นวันบริสุทธิ์ เจ้าจะลงแรงทำงานทั้งสิ้นของเจ้า 6 วัน 10 แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เจ้าอย่าทำงานใดๆ ในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้า บุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง หรือแม้แต่สัตว์ใช้งานของเจ้า และคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในเมืองของเจ้า 11 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้นในเวลา 6 วัน แล้วพระองค์พักผ่อนในวันที่เจ็ด ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าให้พรวันสะบาโตและทำให้เป็นวันบริสุทธิ์

12 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้ามอบให้แก่เจ้า[b]

13 อย่าฆ่าคน

14 อย่าผิดประเวณี

15 อย่าขโมย

16 อย่าเป็นพยานเท็จกล่าวหาเพื่อนบ้านของเจ้า[c]

17 อย่าโลภ[d]อยากได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้านเจ้า อย่าโลภอยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้านเจ้า หรือผู้รับใช้ชายและหญิงของเขา โคหรือลาของเขา หรืออะไรก็ตามที่เป็นของเพื่อนบ้านของเจ้า”

18 เมื่อประชาชนเห็นฟ้าร้อง ฟ้าแลบและได้ยินเสียงแตรงอน อีกทั้งเห็นควันพลุ่งขึ้นจากภูเขา พวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นและยืนอยู่ห่างๆ 19 พลางพูดกับโมเสสว่า “ท่านพูดกับเราเถิด เราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าพูดกับเราโดยตรงเลย เพราะเกรงว่าพวกเราจะถึงกาลวิบัติ” 20 โมเสสพูดกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้ามาทดสอบท่าน เพื่อท่านจะได้ยำเกรงพระองค์ และไม่ทำบาป” 21 ประชาชนยืนอยู่ห่างๆ ในขณะที่โมเสสเดินเข้าไปใกล้ความมืดมิดที่พระเจ้าสถิต

รูปเคารพและแท่นบูชา

22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงพูดกับชาวอิสราเอลว่า ‘พวกเจ้าเองเห็นแล้วว่า เราได้พูดกับเจ้าจากท้องฟ้า 23 อย่าหล่อเทวรูปเงินขึ้นมาเทียบเคียงข้างเรา และอย่าหล่อเทวรูปทองคำให้ตนเองเช่นกัน 24 แต่จงใช้ดินก่อเป็นแท่นบูชาสำหรับเรา และถวายเครื่องสักการะด้วยแกะและโคที่จะเผาเป็นของถวายและเนื้อสัตว์ที่เป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรม ที่ใดก็ตามที่เราหมายจะให้เจ้าระลึกถึงชื่อของเรา เราก็จะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้า 25 และถ้าเจ้าจะใช้หินก่อเป็นแท่นบูชาสำหรับเรา เจ้าก็อย่าสร้างขึ้นจากหินที่แต่งแล้ว เพราะหากว่าเจ้าใช้เครื่องมือแต่งหิน เท่ากับเจ้าทำให้หินเป็นมลทิน 26 และอย่าขึ้นสู่แท่นบูชาของเราทางขั้นบันได เพราะคนจะเห็นกายของเจ้าที่ไม่ปกปิดให้มิดชิด’

21 ต่อไปนี้เป็นคำสั่งที่เจ้าจะต้องแจ้งให้พวกเขารู้ เวลาเจ้าซื้อทาสชาวฮีบรู เขาจะรับใช้ได้นานถึง 6 ปี แต่พอปีที่เจ็ด เขาจะเป็นอิสระโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ถอนอะไรเลย ถ้าเขามาเพียงลำพัง เขาก็ไปเพียงลำพังคนเดียว แต่ถ้าเขามากับภรรยา เขาก็ควรพาภรรยาไปด้วย ถ้านายของเขาหาภรรยาให้เขา และนางมีบุตรชายบุตรหญิงกับเขา ทั้งภรรยาและลูกๆ ของนางจะต้องเป็นของนาย และเขาจะต้องไปเพียงลำพัง ถ้าทาสผู้นั้นบอกว่า ‘ข้าพเจ้ารักนาย ภรรยาและลูกๆ ของข้าพเจ้า และไม่ต้องการมีอิสระ’ นายของเขาจะต้องให้เขาไปหาพระเจ้า ให้เขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู นายของเขาจะเจาะหูเขาข้างหนึ่งด้วยเหล็กแหลม แล้วเขาจะรับใช้นายของเขาไปตลอดชีวิต

ถ้าชายใดขายบุตรหญิงของตนเป็นทาส เธอจะไม่ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสระเหมือนทาสชาย ถ้านายไม่พอใจจะรับเธอไว้เป็นภรรยา เขาก็จะต้องให้บิดาซื้อเธอกลับไป เขาจะไม่มีสิทธิ์ขายเธอให้กับชนชาติอื่น เพราะเขาไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่เธอ ถ้าเขาตกลงใจจะให้เธอเป็นของบุตรชายของเขา เขาจะต้องปฏิบัติต่อเธอเสมอด้วยบุตรหญิง 10 ถ้าเขามีภรรยาเพิ่มขึ้นอีก ก็ต้องไม่ลดจำนวนอาหาร เสื้อผ้าหรือสิทธิ์ของภรรยาคนเก่าให้น้อยลง 11 ถ้าหากว่าเขาไม่ปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ต่อเธอ เธอจะเป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียเงิน

การทำร้ายผู้อื่น

12 ใครก็ตามที่ทุบตีผู้อื่นจนตายต้องรับโทษถึงตาย 13 แต่ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจทำ และพระเจ้าปล่อยให้เกิดขึ้น เราก็จะเลือกที่แห่งหนึ่งเพื่อให้เขาหลบหนีไปอยู่ได้ 14 แต่ถ้าผู้ใดทำร้ายผู้อื่นโดยจงใจฆ่าให้ตาย เจ้าจะลากตัวเขาไปจากแท่นบูชาของเรา ให้เขาต้องโทษถึงตายได้

15 ใครก็ตามที่ทุบตีบิดามารดาของตนต้องรับโทษถึงตาย

16 ใครก็ตามที่ลักตัวคนไปขายหรือถูกจับได้ว่า คนที่ถูกลักไปอยู่ด้วยกับเขา เขาจะต้องรับโทษถึงตาย

17 ใครก็ตามที่สาปแช่งบิดามารดาของตนจะได้รับโทษถึงตาย[e]

18 ถ้าคนวิวาทกัน คนใดคนหนึ่งขว้างก้อนหินหรือชกอีกคนด้วยหมัดจนบาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่ถึงตาย 19 ถ้าเขายังลุกขึ้นยันไม้เท้าเดินไปมาได้อีก คนที่ทุบตีเขาก็จะพ้นโทษ แต่จะต้องชดใช้ค่าป่วยการและเป็นธุระจนกว่าเขาจะหายดี

20 หากชายใดทุบตีทาสชายและทาสหญิงของตนด้วยไม้จนตายคามือ เขาจะต้องถูกลงโทษ 21 แต่ถ้าทาสนั้นมีชีวิตอยู่ได้ต่ออีกวันสองวัน เขาจะไม่ถูกลงโทษ เพราะทาสเป็นสมบัติของเขา

22 ถ้าผู้ชายต่อสู้กัน แล้วหญิงมีครรภ์ต้องแท้งลูกด้วยเหตุจากถูกลูกหลง แต่ไม่ได้มีรอยบาดเจ็บอื่นใด คนที่ทำให้นางแท้งต้องถูกปรับตามแต่สามีของหญิงผู้นั้นจะเรียกร้อง เขาจะต้องจ่ายตามที่ผู้ตัดสินความเห็นสมควร 23 แต่ถ้านางเกิดบาดเจ็บสาหัส เจ้าจะต้องทดแทนชีวิตด้วยชีวิต 24 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน[f] มือต่อมือ เท้าต่อเท้า 25 รอยไหม้ต่อรอยไหม้ บาดแผลต่อบาดแผล รอยช้ำต่อรอยช้ำ

26 ถ้าชายใดชกต่อยที่นัยน์ตาของทาสชายหรือทาสหญิงของตนจนนัยน์ตาบอด เขาจะต้องปล่อยทาสให้มีอิสระเป็นการชดใช้ตา 27 ถ้าเขาทำให้ทาสต้องฟันหลุด ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม เขาจะต้องปล่อยทาสไปให้มีอิสระเป็นการชดใช้ฟัน

28 ถ้าโคขวิดชายหรือหญิงจนตาย โคตัวนั้นต้องถูกหินขว้าง แล้วห้ามรับประทานเนื้อของมัน เจ้าของโคก็จะไม่ถูกลงโทษ 29 แต่ถ้าโคตัวนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีการเตือนเจ้าของแล้ว แต่เขาไม่ขังมันไว้ เมื่อมันขวิดชายหรือหญิงคนใดจนตาย มันก็ต้องถูกหินขว้าง รวมทั้งเจ้าของก็ต้องได้รับโทษถึงตายด้วย 30 ถ้าเขาถูกเรียกร้องให้ชดใช้เป็นเงิน เขาจะต้องแลกชีวิตคืนด้วยการจ่ายเงินตามคำเรียกร้อง 31 ถ้าโคตัวนั้นขวิดลูกชายหรือลูกหญิง มันก็รับโทษตามกฎเดียวกันนี้ 32 ถ้าโคขวิดทาสชายหรือหญิง เจ้าของโคต้องจ่ายเหรียญเงินหนัก 30 เชเขล[g]แก่นายของทาส แล้วโคก็จะถูกหินขว้างตาย

33 ถ้าชายใดเปิดบ่อทิ้งไว้หรือขุดบ่อแล้วไม่ปิดปากบ่อ เมื่อโคหรือลาตกลงไปในนั้น 34 เจ้าของบ่อต้องจ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าของสัตว์ และสัตว์ที่ตายก็ตกเป็นของเขา

35 ถ้าโคของชายคนหนึ่งทำร้ายโคของอีกคนหนึ่งจนตาย ทั้ง 2 คนต้องขายโคที่เป็นอยู่ แล้วแบ่งเงินกัน ส่วนโคที่ตายแล้วก็แบ่งเนื้อกัน 36 แต่ถ้ารู้ว่าโคนั้นเคยขวิดอะไรมาก่อน และเจ้าของไม่ได้ขังมันไว้ ค่าเสียหายที่เขาจะต้องใช้คือโคเป็นๆ ส่วนสัตว์ที่ตายแล้วก็ตกเป็นของเขา

กฎเกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งที่มีเจ้าของ

22 ถ้าผู้ใดขโมยโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย เขาจะต้องชดใช้ด้วยโค 5 ตัวแทนโคที่ขโมยไป 1 ตัว และแกะ 4 ตัวแทนแพะแกะที่ถูกขโมย 1 ตัว ถ้าขโมยถูกจับได้ขณะบุกรุกขึ้นบ้านและถูกซ้อมตาย ผู้ทุบตีจะไม่มีความผิด แต่ถ้าเกิดเรื่องหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผู้ที่ทำให้เขาตายจะเป็นฝ่ายผิด ขโมยจะต้องจ่ายค่าเสียหายโดยเด็ดขาด แต่ถ้าเขาไม่มีให้ เขาต้องขายตัวเองเป็นค่าเสียหายเพื่อชดใช้ของที่ตนขโมย ถ้าพบว่าสัตว์ที่ถูกขโมยมีชีวิตและยังอยู่กับเขา ไม่ว่าจะเป็นโค ลา หรือแกะก็ตาม เขาจะต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่า

ถ้าผู้ใดให้ฝูงสัตว์เล็มหญ้าในนาหรือสวนองุ่น โดยปล่อยให้มันหลงเข้าไปเล็มหญ้าในที่นาของคนอื่น เขาจะต้องยกผลผลิตที่ดีที่สุดจากทุ่งนาหรือสวนองุ่นของตนให้เป็นการชดใช้

ถ้าเกิดไฟไหม้ลุกลามทั่วกอหนาม จนทำให้กองฟาง นาข้าวหรือทั้งไร่นาถูกเผาผลาญ คนที่จุดไฟจะต้องจ่ายค่าเสียหาย

ถ้าผู้ใดขอให้เพื่อนบ้านของตนช่วยเก็บเงินหรือสิ่งของมีค่าไว้ แล้วสิ่งเหล่านั้นถูกขโมยไปจากบ้านของเขา ถ้าขโมยถูกจับได้ก็ต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่า แต่ถ้าจับขโมยไม่ได้ เจ้าของบ้านจะถูกนำตัวมา ณ เบื้องหน้าพระเจ้า[h] เพื่อชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นคนหยิบของจากเพื่อนบ้านไปหรือไม่ เพราะการล่วงละเมิดในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโค ลา แพะแกะ เสื้อผ้า หรือสิ่งใดก็ตามที่หายไปโดยมีผู้หนึ่งอ้างว่า ‘นี่เป็นของเรา’ คู่กรณีจะต้องมา ณ เบื้องหน้าพระเจ้า คนที่พระเจ้าตัดสินว่าผิดจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่เพื่อนบ้านของเขาเป็นสองเท่า

10 ถ้าผู้ใดขอให้เพื่อนบ้านของตนเลี้ยงลา โค แพะแกะ หรือสัตว์เลี้ยงใดๆ แล้วถ้าสัตว์ตาย บาดเจ็บหรือถูกต้อนหนีไปโดยไม่มีใครเห็น 11 เรื่องระหว่างคนทั้งสองต้องจบสิ้นลงที่คำสาบาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้เห็นว่าเขาได้ขโมยของจากเพื่อนบ้านไปหรือไม่ และเจ้าของสัตว์จะรับคำสาบาน และอีกฝ่ายก็ไม่ต้องชดใช้ 12 แต่ถ้าถูกขโมยไปจริง ผู้นั้นจะต้องชดใช้ให้แก่เจ้าของสัตว์ 13 ถ้าถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย ก็ต้องเอาหลักฐานมาให้ดู และไม่จำเป็นต้องชดใช้แต่อย่างใด

14 ถ้าใครขอยืมสิ่งใดจากเพื่อนบ้าน และถ้ามันเกิดบาดเจ็บหรือตายในระหว่างที่เจ้าของไม่อยู่ด้วย คนนั้นต้องชดใช้คืนเท่าเดิม 15 ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องชดใช้ แต่ถ้าสัตว์นั้นเช่ามา ผู้นั้นก็เสียเพียงค่าเช่า

การรับผิดชอบต่อสังคม

16 ถ้าพรหมจาริณีซึ่งเดิมมิได้หมั้นหมายอยู่กับผู้ใด แล้วเธอถูกชายคนหนึ่งล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย ชายนั้นจะต้องจ่ายค่าสินสอด และรับเธอไว้เป็นภรรยา 17 ถ้าบิดาของเธอยืนกรานปฏิเสธที่จะยกเธอให้เขา เขาจะต้องจ่ายเงินในจำนวนที่เท่ากับค่าสินสอดสำหรับพรหมจาริณี

18 เจ้าไม่ควรให้หญิงใดที่ใช้วิทยาคมมีชีวิตอยู่

19 ใครก็ตามที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์จะต้องรับโทษถึงตาย

20 ใครก็ตามที่ถวายเครื่องสักการะแก่พวกเทพเจ้า ซึ่งไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้องถูกกำหนดให้พินาศ

21 เจ้าอย่ากระทำการอันไม่สมควรต่อคนต่างด้าวหรือบีบบังคับเขา เพราะพวกเจ้าล้วนเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ 22 เจ้าอย่าเอาเปรียบหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้าคนใด 23 ถ้าเจ้าเอาเปรียบพวกเขา แล้วเขาร้องเรียกถึงเรา เราย่อมได้ยินเสียงร้องของเขาอย่างแน่นอน 24 ความกริ้วของเราจะพลุ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถฆ่าเจ้าด้วยคมดาบ ภรรยาของเจ้าจะกลายเป็นม่าย และลูกๆ ของเจ้าจะกำพร้าพ่อ

25 ถ้าเจ้าให้ผู้ยากไร้ในหมู่ชนชาติของเรายืมเงิน เจ้าจะต้องไม่ทำตัวเป็นเจ้าหนี้ และไม่เค้นเอาดอกเบี้ยจากเขา 26 ถ้าเจ้ายึดเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน เจ้าจะต้องคืนให้เขาก่อนตะวันตกดิน 27 เพราะนั่นเป็นเครื่องนุ่งห่มชิ้นเดียวของเขา มันเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับกายของเขา แล้วเขาจะใช้อะไรนุ่งนอน ถ้าเขาร้องเรียกถึงเรา เราย่อมได้ยิน เพราะเรามีเมตตา

28 อย่าพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าหรือสาปแช่งบุคคลชั้นปกครอง

29 อย่าตระหนี่ผลผลิตอันอุดมที่ได้จากธัญพืช เหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอก จงถวายบุตรชายคนแรกให้แก่เรา 30 จงทำเช่นเดียวกันกับฝูงโค และแพะแกะของเจ้าด้วย คือปล่อยให้อยู่กับแม่ของมัน 7 วัน แล้วจึงถวายให้เราในวันที่แปด

31 พวกเจ้าจงเป็นคนบริสุทธิ์เพื่อเรา ดังนั้นอย่ารับประทานเนื้อที่ถูกสัตว์ป่าขย้ำตายในทุ่งนา แต่จงทิ้งให้สุนัขกิน[i]

กฎแห่งความเป็นธรรมและเมตตา

23 อย่ากล่าวเท็จต่อๆ กันไป และอย่าช่วยเหลือผู้มีความผิดด้วยการเป็นพยานเท็จ อย่ากระทำชั่วตามคนส่วนใหญ่ และจงอย่าเป็นพยานในคดีความที่มีการฟ้องร้อง เพื่อเข้าข้างคนส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่าบิดเบือนความเป็นธรรม อย่าโน้มเอียงเข้าข้างคนยากไร้ในยามฟ้องร้อง

ถ้าเจ้าพบโคหรือลาของศัตรูโดยบังเอิญ เจ้าต้องนำมันมาคืนให้เขา ถ้าเจ้าเห็นลาแบกของหนักล้มทรุดลง และเจ้าของลาคือคนที่เกลียดเจ้า เจ้าก็ต้องช่วยลาของเขาให้ลุกขึ้น

อย่าปฏิเสธความเป็นธรรมที่คนยากไร้ควรได้รับในกรณีฟ้องร้อง อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาผิดๆ อย่าทำให้ผู้ไร้ความผิดหรือผู้มีความชอบธรรมต้องรับโทษถึงตาย เพราะเราจะไม่ปล่อยคนชั่วให้รอดมือไปได้ อย่ารับสินบน เพราะการรับสินบนทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอด และพลิกคดีของผู้ปราศจากความผิดได้

อย่าข่มเหงคนต่างด้าว เจ้ารู้ใจคนต่างด้าวอย่างลึกซึ้ง เพราะเจ้าเองก็เคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์

กฎของวันสะบาโต

10 เจ้าหว่านพืชและเก็บเกี่ยวได้ผลเป็นเวลา 6 ปี 11 แต่ในปีที่เจ็ดเจ้าต้องปล่อยที่นาทิ้งไว้ ให้บรรดาผู้ยากไร้เก็บรับประทานของในนาได้ เศษที่พวกเขาเหลือไว้ก็ให้สัตว์ป่ากิน สวนองุ่นและสวนมะกอกเจ้าก็จงทำเช่นนั้นเหมือนกัน

12 จงทำการงานของเจ้า 6 วัน แต่เจ้าจงหยุดพักในวันที่เจ็ด เพื่อโคและลาของเจ้าได้หยุดพัก ทาสที่กำเนิดในครัวเรือนของเจ้าและชาวต่างด้าวจะได้มีเวลาหายใจบ้าง

13 เจ้าจงทำตามทุกสิ่งที่เราบอกไว้ให้ดี อย่าอธิษฐานต่อเทพเจ้าใดๆ หรือแม้แต่จะเอ่ยชื่อก็อย่าทำ

งานเทศกาลประจำปีทั้งสาม

14 เจ้าจงฉลองงานเทศกาลเพื่อเป็นเกียรติแก่เราปีละ 3 ครั้ง 15 เจ้าจงฉลองเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ตามที่เราสั่งเจ้าคือ รับประทานขนมปังไร้เชื้อในระยะ 7 วันตามเวลาที่กำหนดไว้ในเดือนอาบีบ เพราะเจ้าออกจากอียิปต์ในเดือนนั้น อย่าให้ใครมาอยู่เบื้องหน้าเราโดยมือเปล่า 16 เจ้าจงใช้ผลแรกที่เก็บเกี่ยวได้จากนาของเจ้า เพื่อฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยวธัญพืช[j] จงฉลองเทศกาลเก็บรวมตอนปลายปี คือเวลาที่เจ้ารวบรวมผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากแรงงานที่ไร่นาของเจ้า 17 ชายทุกคนในพวกเจ้าต้องมา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปีละ 3 ครั้ง

18 อย่าถวายเลือดสัตว์จากเครื่องสักการะของเราปนกับสิ่งใดที่มีเชื้อยีสต์ หรือปล่อยให้มีไขมันจากงานเทศกาลของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า

19 จงนำผลแรกที่พิเศษสุดจากนาที่เจ้าเก็บเกี่ยวได้มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า

อย่าต้มลูกแพะในน้ำนมของแม่มัน[k]

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าเตรียมทาง

20 ดูเถิด เราส่งทูตสวรรค์ผู้หนึ่งไปล่วงหน้าเจ้าเพื่อปกปักรักษาเจ้าเวลาเดินทาง และนำเจ้าไปยังที่ที่เราได้เตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว 21 จงตั้งใจและเชื่อฟังเขา อย่าขัดขืนต่อเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษการล่วงละเมิดของพวกเจ้า เพราะเขามีสิทธิอำนาจในนามของเรา

22 แต่ถ้าเจ้าตั้งใจเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี และกระทำตามทุกสิ่งที่เราพูด เราก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าศัตรูของเจ้า และเป็นปฏิปักษ์กับบรรดาปฏิปักษ์ของเจ้า

23 เมื่อทูตสวรรค์ของเราไปล่วงหน้าเจ้าและนำเจ้าไปยังชาวอาโมร์ ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวคานาอัน ชาวฮีว และชาวเยบุส เราจะทำให้พวกเขาสาบสูญไป 24 อย่าก้มกราบหรือนมัสการบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา หรือปฏิบัติตามอย่างพวกเขา แต่เจ้าจงทำลายรูปเคารพให้หมดสิ้นและทุบแผ่นหินที่ตั้งอยู่ให้แตกเป็นเสี่ยงๆ 25 เจ้าจงนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า แล้วเราจะอวยพรเจ้าผ่านอาหารและน้ำของเจ้า และจะทำให้พวกเจ้าพ้นจากโรคภัยด้วย 26 จะไม่มีผู้ใดแท้งลูกหรือเป็นหมันในแผ่นดินของเจ้า และจะให้เจ้ามีอายุยืน 27 เราจะทำให้ชนชาติทั้งปวงที่เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าเกิดพรั่นพรึงขึ้นมา เราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้าสับสนและหันหลังเตลิดไป 28 เราจะส่งฝูงแตนไปล่วงหน้าเจ้า เพื่อไล่ชาวฮีว ชาวคานาอันและชาวฮิตไปให้พ้นทางของเจ้า 29 เราจะไม่ไล่พวกเขาให้พ้นทางในระยะเวลาปีเดียว เพราะเกรงว่าแผ่นดินจะกลายเป็นที่ร้าง และจำนวนสัตว์ป่าก็จะมีมากกว่าพวกเจ้า 30 เราจะไล่พวกเขาให้พ้นทางเจ้าทีละน้อย จนกระทั่งพวกเจ้าทวีจำนวนมากขึ้นจนเป็นเจ้าของดินแดน 31 แล้วเราจะกำหนดเขตแดนจากทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย และจากถิ่นทุรกันดารจรดแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเราจะทำให้ผู้อยู่อาศัยในดินแดนตกอยู่ในมือของพวกเจ้า และเจ้าจะขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า 32 อย่าทำพันธสัญญากับพวกเขาหรือบรรดาเทพเจ้าของเขา 33 อย่ายอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนของเจ้า เกรงว่าเขาจะเป็นเหตุให้พวกเจ้ากระทำผิดต่อเรา เพราะถ้าหากว่าเจ้าบูชาบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา เจ้าก็จะติดบ่วงแร้วอย่างแน่นอน”

ประทับตราพันธสัญญา

24 พระองค์กล่าวกับโมเสสว่า “ตัวเจ้ากับอาโรนจงขึ้นมาหาพระผู้เป็นเจ้า พร้อมทั้งนาดับ อาบีฮู และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 70 คนของอิสราเอล และกราบนมัสการอยู่ห่างๆ โมเสสผู้เดียวที่จะเข้ามาใกล้พระผู้เป็นเจ้า ส่วนคนอื่นๆ อย่าเข้ามาใกล้ และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย”

โมเสสไปบอกประชาชนถึงคำสั่งทุกประการและทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว ประชาชนตอบเป็นเสียงเดียวว่า “พวกเราจะทำตามทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว” โมเสสเขียนบันทึกทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อสร้างแท่นบูชาที่เชิงเขา และก่อเสาหินขึ้น 12 ต้น ตามจำนวน 12 เผ่าของอิสราเอล ครั้นแล้วท่านก็ให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลไปมอบสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวาย และมอบโคตัวผู้เป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรมแด่พระผู้เป็นเจ้า โมเสสเทเลือดสัตว์ครึ่งหนึ่งลงในอ่าง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งท่านสาดลงที่แท่นบูชา แล้วหยิบพันธสัญญาเล่มที่เขียนไว้ เพื่ออ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขาพูดว่า “เราจะเชื่อฟังและจะทำทุกอย่างตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว” โมเสสจึงประพรมเลือดสัตว์ที่ตัวประชาชนและกล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญาซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทำไว้กับพวกท่านตามทุกสิ่งที่พระองค์กล่าว”

ครั้นแล้ว โมเสส อาโรน นาดับ อาบีฮู และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 70 คนของอิสราเอลก็ขึ้นเขาไป 10 แล้วพวกเขาก็มองเห็นพระเจ้าของอิสราเอล บริเวณพื้นที่พระองค์ยืนอยู่เป็นดั่งนิลสีครามและสุกใสเหมือนฟ้าสวรรค์ 11 พระองค์ไม่ได้ทำอันตรายบรรดาผู้นำของอิสราเอลแต่อย่างใด พวกเขาเห็นพระเจ้าและยังได้ดื่มกินด้วย

Footnotes

  1. 19:13 ตัดจากเขาแกะ
  2. 20:12 เอเฟซัส 6:2,3
  3. 20:16 จากข้อ12-16 ฉบับมัทธิว 5:21; 5:27; 15:4; 19:18,19; มาระโก 7:10; 10:19; ลูกา 18:20; โรม 13:9; ยากอบ 2:11
  4. 20:17 โรม 7:7; 13:9
  5. 21:17 มัทธิว 15:4; มาระโก 7:10
  6. 21:24 มัทธิว 5:38
  7. 21:32 1 เชเขล หนักประมาณ 11.4 กรัม ฉบับมัทธิว 26:15
  8. 22:8 ในข้อ 8 และ 9 พระเจ้า ในที่นี้แปลได้อีกความหมายคือ บรรดาผู้ตัดสิน
  9. 22:31 เลวีนิติ 17:10-12
  10. 23:16 ผลแรก ชาวฮีบรูถวายผลจากการเก็บเกี่ยวของการกสิกรรมส่วนแรกให้แด่พระเจ้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าการเก็บเกี่ยวทั้งหมดเป็นของพระเจ้า
  11. 23:19 เป็นสิ่งที่ชาวคานาอันทำในพิธีทางศาสนา ฉบับอพยพ 34:26; เฉลยธรรมบัญญัติ 14:21